Tesla รถยนต์จากอเมริกาที่ลงสู่ตลาดรถยนต์มาเป็นเวลาไม่นานเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆทั้งในอเมริกาเองและทั่วโลก ถึงแม้จะเป็นเวลาเพียงไม่นานแต่ผู้คนส่วนใหญ่ทั่วโลกต่างก็ยอมรับในเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าค่ายนี้ และ Tesla Model Y ถูกมองว่าจะเข้ามาทำลายสถิติของรถค่ายเดียวกันอย่าง Model 3 ด้วยความที่เป็น All-Rounder หรือใช้งานได้แทบทุกรูปแบบของมัน
เรามาดูกันดีกว่า ว่าทำไมเจ้า Model Y จึงได้ชื่อเป็น All-Rounder จากหลายๆคนที่ได้ขับเจ้ารถคันนี้กันครับ
1. Built Around the Driver
บางคนอาจเหน็บว่าการที่สามารถปรับที่นั่งได้น้อยเป็นความบกพร่องอย่างหนึ่ง แต่มันดีแล้วที่ตัว Model Y นั้นออกแบบที่นั่งมาให้พร้อมอยู่แล้วสำหรับคนขับและคำนึงถึงความสำคัญในบริเวณนี้ควบคู่กันไปด้วย โดยเบาะนั่ง ของ Tesla Model Y เป็นแบบหนังทุกที่นั่งด้านหน้าแบบระบายอากาศ ปรับได้ 8 ทิศทาง พวงมาลัยปรับความร้อนได้ พร้อมระบบควบคุมพวงมาลัย มีที่วางแก้วด้านหน้า ที่วางแก้วด้านหลัง โดยรวมแล้วการออกแบบภายในนั้นเรียบง่ายแต่เน้นความสะดวกสบายในขั้นสูงสุด
2. Great Cameras Everywhere
แม้ว่าจะมีข้อกังวลเกี่ยวกับเรดาร์ของ Tesla ที่ถูกเอาออก แต่ Model Y ก็ชดเชยด้วยกล้องในแบบของตัวเอง การมีกล้องด้านหลังเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เห็นสิ่งกีดขวางที่อยู่หลังรถได้ทันที ตัว Model Y นั้นมีกล้องภายในที่สามารถช่วยดูแลและอาจจะแก้ปัญหาต่างๆ สำหรับเด็กๆที่อยู่ในรถในระหว่างการขับขี่รถยนต์ได้
นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ทั้งในแง่ของการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนและสืบค้นหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น มีการพูดคุยออกความเห็นเกี่ยวกับกับมุมมองแบบ "Bird Eyes" ของกล้อง แต่ความสามารถของกล้องสำหรับ Model Y ก็ยังคงมีความยอดเยี่ยมแม้จะไม่มีมุมมอง 360 องศา แม้ว่าจะมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาความเป็นส่วนตัวสำหรับเรื่องของกล้อง แต่ประโยชน์ที่มันให้กับตัวผู้ขับขี่นั้นดีกว่ามาก
3. Impressive Cargo Area
กุญแจสำคัญของความเป็น SUV นั้นคือพื้นที่เก็บสัมภาระ Model Y โดดเด่นกว่ารถ SUV วีไฟฟ้าหลายรุ่นในด้านความสามารถที่ยอดเยี่ยมในการบรรทุกผู้โดยสารและสิ่งของได้อย่างง่ายดาย ด้วยพื้นที่ที่นั่งครอบคลุมเกือบ 70 ฟุต นั่นเป็นพื้นที่ที่เยอะมากสำหรับบรรจุสิ่งของตั้งแต่จักรยานไปจนถึงกล่องใส่สำภาระจำนวนมาก มีทั้งหมด 5 ที่นั่งภายในโดยเบาะนั่งสามารถปรับความร้อนได้ เบาะนั่งด้านหลังแบบพับแยกส่วนพับได้ 40-20-40 โดยจะไม่รู้สึกว่ากว้างมากนักแต่ก็ไม่แคบจนรู้สึกอึดอัดมากเกินไป
เบาะด้านหลังสามารถพับได้ทำให้มีพื้นที่ในการเก็บของชิ้นใหญ่อย่างเช่นกระเป๋าเดินทาง หรือสัมภาระด้านการกีฬาได้เยอะมากขึ้นถึงแม้จะปรับยกเบาะขึ้น แต่ก็ยังมีพื้นที่ที่พอเหมาะ ซึ่งในตัวรถนั้นได้ถูกจัดการอย่างดีให้กับการใช้งานเกือบทุกรูปแบบ และทำให้ Model Y เป็นหนึ่งในเทสลาที่ดีและเหมาะสมที่สุดที่จะใช้สำหรับการขนสัมภาระ
4. Universal Screen
Tesla Y มากับหน้าจอขนาดใหญ่ 15 นิ้วที่ลักษณะเหมือนแท็บเล็ต สั่งการทุกอย่างได้ผ่านหน้าจอนี้แค่เพียงสัมผัส ภายในมาพร้อมกับวิทยุระบบเสียงเกรดพรีเมี่ยมลำโพง 14 ตัว ซับวูฟเฟอร์ 1 ตัว และ แอมป์ 2 ตัว ทำให้ระบบเสียงที่มีความสมจริง หากเปิดฟังเพลงคอนเสริต์ก็จะให้ความรู้สึกราวกับอยู่ในงาน อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อเพลงผ่านอินเทอร์เน็ตเบราว์เซอร์ หรือจะเชื่อมต่อผ่านระบบผ่านบลูทูธก็ยังได้
มากไปกว่านั้นคือระบบ Over-The-Air ซึ่งคุณไม่จำเป็นต้องนำรถไปที่ศูนย์เพื่ออัปเดตซอฟต์แวร์ใด ๆ แต่ปล่อยให้เกิดขึ้นเองได้โดยอัตโนมัติที่บ้านของคุณได้เลย
5. Great Driving Range
Tesla Model Y เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบ ซึ่งเน้นเรื่องการประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อมโดยจะมีให้เลือกทั้งหมดสามรุ่นย่อย โดยมีรุ่น Performance ที่มีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 241 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจะอยู่ที่ 3.7 วินาที ระบบการขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อเต็มกำลัง ถ้าหากชาร์จเต็มหนึ่งครั้งจะสามารถวิ่งได้ 480 กิโลเมตร รุ่นต่อมาคือรุ่น long range AWD ที่มีความเร็วสูงสุด 217 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจะอยู่ที่ 5.1 วินาที ในการชาร์จเต็มหนึ่งครั้งสามารถวิ่งได้ 505 กิโลเมตร ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อมอเตอร์คู่เช่นกัน รุ่นสุดท้ายคือรุ่น Standard Range ซึ่งจำหน่ายเฉพาะใน จีน ฮ่องกง และมาเก๊า มีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 217 อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจะอยู่ที่ 5.6 วินาที ชาร์จเต็มหนึ่งครั้งจะสามารถวิ่งได้ 455km กิโลเมตร
โดยรวมแล้ว Tesla Model Y มีการตอบสนองต่อการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม สามารถส่งแรงบิดไปยังล้อหน้าและล้อหลังได้ดีว่ารถยนต์ทั่วไป มีเสถียรภาพ มีการคุมแรงฉุดที่ดีทำให้การใช้ความเร็วนั้นให้ความรู้สึกที่ปลอดภัย ด้วยเหตุผลทั้ง 5 ข้อนี้และราคาของรถที่อยู่ในระดับสมเหตุสมผล จึงทำให้ได้ชื่อว่าเป็น All-Rounder จริงๆครับ